สิ่งที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลรักสตีเว่น เจอร์ราร์ด ไม่ใช่แค่เรื่องของฝีเท้าอันยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่คือความ "ภักดี" กับสโมสร


เจอร์ราร์ด มีทางเลือก สามารถย้ายไปเล่นให้ทีมที่พร้อมกว่า, มีโอกาสคว้าแชมป์ได้ง่ายกว่า และ ได้เงินเดือนเยอะกว่า แต่เขาก็ไม่ยอมไป ขอสู้กับหงส์แดงจนถึงวาระสุดท้าย


แม้การตัดสินใจครั้งนี้ จะทำให้เขาไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแม้แต่สมัยเดียว แต่เจ้าตัวก็ยอม เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้ว


แบ็กกราวน์ของเจอร์ราร์ด นี่คือสเกาเซอร์ตัวจริง เขาเกิดและเติบโตที่เมืองลิเวอร์พูล จากนั้นเข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของหงส์แดงตั้งแต่ 8 ขวบ


เจอร์ราร์ด ถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ ตอนอายุ 18 ปี และกลายเป็นคีย์แมนของสโมสรอย่างรวดเร็วในยุคเชราร์ อุลลิเยร์


จากนั้น ในตุลาคมปี 2003 เจอร์ราร์ดถูกแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมหงส์แดง แทนที่ซามี่ ฮูเปีย ด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น


เรื่องฝีเท้า ไม่ต้องพูดถึง เจอร์ราร์ดคือมิดฟิลด์ไดนาโม ที่มีพลังขับเคลื่อนสุดยอดมาก วิ่งพล่านได้ทั่วสนาม ไม่มีหมด จ่ายบอลคม ยิงไกลได้รุนแรง คุณจับเขาไปยืนตรงไหน ในแผงมิดฟิลด์ก็ได้ทั้งนั้น


แต่ในโลกฟุตบอล ฝีเท้าดีคนเดียวมันไม่พอ ที่จะประสบความสำเร็จ


ลิเวอร์พูลในยุค 2000s ยังมีองค์ประกอบที่ไม่ลงตัว คุณภาพทีมสู้คู่แข่งร่วมลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล และ เชลซี ไม่ได้


สาเหตุหนึ่งคือเรื่องงบประมาณ ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด เข้าตลาดหุ้นไปแล้ว มีทุนทรัพย์มากมาย หรืออย่างเชลซี ก็มีเจ้าของคือมหาเศรษฐีอันดับ 49 ของโลก อย่างโรมัน อบราโมวิช แต่ลิเวอร์พูล มีเจ้าของทีมคือเดวิด มัวร์ เจ้าของห้างสรรพสินค้า ลิตเติ้ลวูดส์ ที่กำลังจะปิดบริการอยู่แล้ว เรื่องเงินทุน จะไปสู้กับคนอื่นก็ทำได้ยาก


ในขณะที่ทีมอื่น พุ่งทะยานไปสู่ความสำเร็จ แต่ฝั่งลิเวอร์พูลดูจะคว้าแชมป์ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้ตัวเจอร์ราร์ด ก็กลับมาคิดว่า ตัวเขาเอง ควรจะอยู่ต่อไปแบบนี้จริงๆ หรือ เราควรย้ายไปอยู่ทีมอื่น เพื่อเกียรติประวัติของตัวเอง


---------------------


ช่วงซัมเมอร์ปี 2004 เป็นครั้งแรก ที่เจอร์ราร์ด ได้รับข้อเสนอที่ยั่วยวนใจจากสโมสรเชลซี


จุดเริ่มต้นมาจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่คลั่งไคล้เจอร์ราร์ดมาก เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่านี่คือกองกลางในฝัน ถ้าได้ตัวมาร่วมทีมด้วย ทีมของเขาจะสมบูรณ์มากๆ


มูรินโญ่ ถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมเชลซี ในวันที่ 2 มิถุนายน 2004 และภารกิจแรกของเขา คือการคุยกับจอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมเชลซี ให้แอบเกลี้ยกล่อมเจอร์ราร์ด ในแคมป์ทีมชาติอังกฤษ ระหว่างลงแข่งยูโร 2004 ที่โปรตุเกส


เทอร์รี่เกลี้ยกล่อมเจอร์ราร์ด ถามว่าสนใจจะย้ายมาอยู่เชลซีด้วยกันไหม เจอร์ราร์ดรับฟัง แต่ก็ตอบปฏิเสธไป บอกว่าเขาไม่ได้คิดจะย้ายออกจากลิเวอร์พูล


ในตอนนั้น เชลซีลองยื่นข้อเสนอเข้ามาให้ทีมหงส์แดงพิจารณาดูก่อน เป็นตัวเลข 20 ล้านปอนด์ แต่ก็โดนปฏิเสธอย่างรวดเร็ว (ณ เวลานั้น นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในอังกฤษ คือริโอ เฟอร์ดินานด์ 29.1 ล้านปอนด์)


มุมของลิเวอร์พูล จะตัดสินใจตามนักเตะ ถ้าเจอร์ราร์ดไม่อยากย้าย เท่าไหร่ก็ไม่ขาย แต่ถ้านักเตะอยากย้าย ก็จะยอมปล่อย เพราะถ้าใจคนอยากจะไป รั้งแบบไหน ก็คงไม่อยู่


แม้ตอบปฏิเสธไปในตอนแรก แต่สำหรับเจอร์ราร์ด เมื่อเห็นว่าเชลซีสนใจ เขาก็เริ่มเก็บเอาไปคิด ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะย้ายทีม


หลายปีที่ผ่านมา เจอร์ราร์ดผิดหวังกับความไม่จริงจังของสโมสร โดยเฉพาะเรื่องการซื้อขายนักเตะ


ล่าสุดช่วงต้นซีซั่น 2004-05 ก็ปล่อยไมเคิล โอเว่น กองหน้าดาวซัลโวของทีม ไปเรอัล มาดริดอีกคน นั่นทำให้เจอร์ราร์ดเริ่มท้อแท้ ไม่เห็นโอกาสคว้าแชมป์ได้


คิดดูว่าลิเวอร์พูลตอนนั้น มีแนวรุก คือมิลาน บารอส, ฌิบริล ซิสเซ่, ฟลอรงต์ ซินาม่า-ปงโกลล์ มันจะยิงประตูได้เยอะขนาดไหนกันเชียว


เทียบกับแมนฯ ยูไนเต็ด มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวย์น รูนี่ย์, รุด ฟาน นิสเตลรอย


อาร์เซน่อล มี เธียร์รี่ อองรี, เดนนิส เบิร์กแคมป์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่


เชลซี มี ดิดิเยร์ ดร็อกบา, ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น, อาร์เยน ร็อบเบน, แดเมียน ดัฟฟ์


แค่เห็นลิสต์รายชื่อ เทียบกับคู่แข่งแล้ว เจอร์ราร์ดในฐานะกองกลางก็ท้อใจแล้ว ไม่เห็นทรง ที่สโมสรจะขึ้นไปยืนหนึ่งได้ แต่ในฐานะกัปตันทีม เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องสู้ต่อไป ในศักยภาพที่สโมสรพึงจะมี


เข้าสู่เดือนธันวาคม 2004 เป็นครั้งแรกที่เจอร์ราร์ด ออกมายอมรับว่า เขาอาจจะย้ายทีมได้


เจอร์ราร์ดให้สัมภาษณ์ว่า "ถ้าหากทุกอย่างยังดูไม่ดีแบบนี้ ผมคงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะตัดสินใจอย่างไรในช่วงซัมเมอร์ คือพอจบฤดูกาล 2004-05 ผมจะอายุ 25 ปีแล้ว และจะอยู่ในช่วงพีกที่จะคว้าแชมป์ ได้อีกแค่ 6-7 ปี"


"ผมเองก็ลำบากใจ เพราะผมก็เป็นแฟนลิเวอร์พูล ผมอยากได้แชมป์ร่วมกับสโมสรแห่งนี้ แต่เวลาของผมก็น้อยลงเรื่อยๆ ผมไม่อาจจะรอการสร้างทีมใหม่อีก 3-4 ปีได้"


"ผมไม่ได้คิดจะยอมแพ้หรอกนะ แต่ดูในตารางคะแนนตอนนี้สิ?" ตอนที่เจอร์ราร์ดพูดประโยคนี้ ลิเวอร์พูลมีแต้มตามหลังจ่าฝูงเชลซี 15 คะแนน ทั้งๆ ที่ผ่านไปแค่ครึ่งฤดูกาลเท่านั้น


สำหรับมูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเชลซี เขาพลาดได้ตัวเจอร์ราร์ด ช่วงซัมเมอร์ 2004 ก็จริง แต่เขาตั้งใจแล้ว ว่าซัมเมอร์ 2005 พร้อมยื่นข้อเสนอเข้าไปใหม่อีกรอบแน่


ด้วยบทสัมภาษณ์ของเจอร์ราร์ด และด้วยความจริงจังของมูรินโญ่ ทำให้หลายคนเชื่อว่า เจอร์ราร์ด "ไปแน่"


กุมภาพันธ์ 2005 เกมลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม เกมนั้นหงส์แดงนำ 1-0 เกือบจะชนะอยู่แล้ว แต่นาทีที่ 79 เจอร์ราร์ดทำเข้าประตูตัวเอง เสมอกัน 1-1 ในเวลาปกติ


พอเข้าสู่ช่วงต่อเวลา 120 นาที หงส์ก็ต้านไม่ไหว แพ้เชลซีไป 3-2 พลาดแชมป์ในที่สุด และนั่นคือโทรฟี่แรก ของมูรินโญ่ในการคุมทีมสิงห์บลูส์ อีกด้วย


วันนั้น ที่มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม เจอร์ราร์ดโดนแฟนบอลลิเวอร์พูลด่าอย่างรุนแรงว่า "ไอ้สารเลวนั่น ตั้งใจทำเข้าประตูตัวเองชัดๆ"


มีคนตะโกนออกมาจากสแตนด์ว่า "มันต้องการไปเชลซี มันต้องการเงิน มันกับเมียอยากไปโกยเงินลอนดอน เจอร์ราร์ดแม่งตัวทรยศ"


จากนั้นเมษายน 2005 เกมที่ลิเวอร์พูลต้องไปเยือนเชลซี ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็มีแฟนบอลเชลซี ชูป้ายแบนเนอร์บนสแตนด์ว่า "Welcome Home Gerrard"


แฟนเชลซี เตรียมต้อนรับเจอร์ราร์ดในฐานะสมาชิกใหม่กันแล้ว คือโมเมนตั้มตอนนั้น ดูยังไงเจอร์ราร์ดก็ไปลอนดอนชัวร์ๆ


บรรยากาศตอนนั้น ก็เลยตึงเครียดมาก ความสัมพันธ์ของเขาในฐานะนักเตะที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่ กับแฟนบอลหงส์แดง มีรอยร้าวแล้ว


เจอร์ราร์ดเองก็สองจิตใจสองใจ ฝั่งหนึ่งก็การันตีความสำเร็จ แต่อีกฝั่งก็เป็นสโมสรบ้านเกิด เขาลังเลใจ ไม่รู้จะตัดสินใจแบบไหน สิ่งเดียวที่ทำได้ คือเล่นฟุตบอลต่อไปเรื่อยๆ ในช่วงที่เหลือ ของฤดูกาล 2004-05


แต่มีสิ่งที่เจอร์ราร์ดไม่คาดคิด คือผลงานของลิเวอร์พูลในฟุตบอลยุโรป ดีอย่างเหลือเชื่อมาก


ในลีก พวกเขามีแต้มตามหลังแชมป์ เชลซี 37 คะแนน แต่ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กลับเข้ารอบได้เรื่อยๆ แบบเซอร์ไพรส์


เริ่มจากพลิกนรกผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ในนัดสุดท้ายที่เอาชนะโอลิมเปียกอส ตามด้วยชนะเลเวอร์คูเซ่น ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย, ชนะ ยูเวนตุส รอบ 8 ทีมสุดท้าย แม้แต่เจอเชลซี ในรอบรองชนะเลิศก็ยังผ่านไปได้


ในพรีเมียร์ลีก หงส์สู้เชลซีไม่ได้เลย แต่พอเป็นเกมยุโรป ทุกอย่างเข้าทางหมด และสามารถเอาชนะได้ด้วยสกอร์รวมสองนัด 1-0


ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมคนใหม่ ดูจะเชี่ยวชาญมาก ในรายการยุโรป เขาเขี้ยวมาก ในการแข่งแบบนัดต่อนัด สุดท้ายจึงพาทีมหงส์แดง ก้าวมาถึงนัดชิงชนะเลิศกับเอซี มิลาน ที่อิสตันบูลได้สำเร็จ


และมหัศจรรย์แห่งอิสตันบูลก็เกิดขึ้น ลิเวอร์พูลพลิกนรก จากตามหลัง 3-0 กลับมาตีเสมอ 3-3 และชนะจุดโทษได้สำเร็จ โดยเจอร์ราร์ด ได้ลงเล่นแมตช์นั้น ครบ 120 นาที และเขาได้โอกาสชูโทรฟี่แชมป์รายการใหญ่ ครั้งแรกในชีวิตด้วย


ด้วยความสำเร็จ ด้วยความสุขที่อิสตันบูล ทำให้เจอร์ราร์ด ก็ได้เห็นว่า อยู่ลิเวอร์พูล ภายใต้ราฟาเอล เบนิเตซ ก็มีโอกาสได้แชมป์แบบนี้ได้เหมือนกันนะ


เชลซีอาจประสบความสำเร็จง่ายกว่า แต่อยู่ลิเวอร์พูลต่อก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น


เข้าสู่เดือนกรกฎาคม 2005 หนึ่งเดือนเศษ หลังจากได้แชมป์ยุโรป ลิเวอร์พูลยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้เจอร์ราร์ด ที่เหลืออีก 2 ปี พิจารณา


แต่ ณ เวลาเดียวกัน เชลซีก็ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเข้ามา ที่ตัวเลข 32 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติแพงสุดของการซื้อขายในอังกฤษ


มูรินโญ่ยังไงก็เอาแน่ เขาบอกว่า "กองกลางในฝันของผม คือมีโคล้ด มาเกเลเล่ ยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ และมีแฟรงค์ แลมพาร์ด กับสตีเว่น เจอร์ราร์ด ขับเคลื่อนตรงกลางด้วยกัน"


ตอนนี้อยู่ที่ตัวเจอร์ราร์ดเอง แล้วว่าจะเอายังไง ความสำเร็จ หรือ ความภักดี


สุดท้ายเจอร์ราร์ด ได้แจ้งกับเอเยนต์ส่วนตัว สตรวน มาร์แชล ว่าเขาจะเลือกย้ายไปเชลซี


เจอร์ราร์ดอธิบายว่า "ผมคิดในตอนนั้น ว่าอยากเล่นให้กับโชเซ่ มูรินโญ่ ภายใต้มูรินโญ่ ผมจะพัฒนาเป็นนักเตะที่เก่งกว่าเดิม ได้แชมป์มากกว่าเดิม"


เมื่อเจอร์ราร์ดเลือกแบบนั้น ทำให้บรรยากาศของแฟนบอลลิเวอร์พูล เดือดดาลแบบสุดขีด แฟนบอลเอาเสื้อของเจอร์ราร์ดมาเผาที่หน้าสนามแอนฟิลด์ และมีคนเอาสเปรย์มาพ่นสี เขียนคำว่า "จูดาส" กับ "คนทรยศ" ที่กำแพงด้านนอกเมลวู้ดอีกด้วย


นี่เป็นสิ่งที่เจอร์ราร์ดช็อกมาก ในฐานะคนที่ถูกรักมาตลอด เขาไม่คาดคิด ว่าจะเจอรีแอ็กชั่นแบบนี้จากแฟนๆ


ณ ตอนนั้น เจอร์ราร์ด ต้องกลับมาคิดทบทวนอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไรต่อ ถ้าไปเชลซีก็แชมป์แน่ๆ เพราะองค์ประกอบทีมพร้อมแล้ว แต่ถ้าอยู่ลิเวอร์พูลต่อ เขาก็จะเป็นตำนานของทีมต่อไป เป็นเลเจนด์ของสโมสร และไม่โดนแฟนบอลที่เติบโตมาด้วยกัน ต้องเกลียดชัง


ก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย เจอร์ราร์ดกลับมาบ้าน แล้วนั่งล้อมวงคุยกับ คุณพ่อ และพี่ชาย เพราะนี่อาจเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในอาชีพก็ได้


เจอร์ราร์ดเล่าว่า "ผมรู้สึกว่าสโมสรไม่ให้ความรักผมมากพอ ขณะที่ราฟาเอล เบนิเตซ ก็เป็นผู้จัดการทีมที่เย็นชา และมีระยะห่างมากๆ กับผม"


"ตรงข้ามกับเชลซี ที่ดูจริงจังมาก มูรินโญ่ก็ยืนยันว่าผมคือคนสำคัญในแผนของเขา มันทำให้ผมรู้สึกว่า อยากเล่นฟุตบอลกับเขา"


"ใจผมคิดถึงเชลซี แต่พอได้นั่งคุยกับพ่อ กับ พี่ชาย เราก็เริ่มคุยเรื่องลิเวอร์พูลมากขึ้น พวกเขาถามคำถามว่า 'สิ่งที่นายต้องการจริงๆ คืออะไร? นายรับไหวไหม ถ้าเดอะ ค็อปจะเกลียดนายไปตลอดชีวิต? แล้วนายทนได้ไหม ที่จะไม่ได้เล่นให้ลิเวอร์พูลอีกเลย?' ทั้งสองคน ป้อนคำถามเหล่านี้มาให้ผมลองคิดทบทวน"


"และคำถามที่สำคัญที่สุด คือ ระหว่างการได้แชมป์ 2-3 รายการกับลิเวอร์พูล กับการได้แชมป์ในปริมาณ ที่อาจจะมากกว่า 2 หรือ 3 เท่า กับเชลซี อะไรที่มีความหมายสำหรับตัวผมมากกว่า"


"ซึ่งคำถามข้อนี้ คำตอบในใจของผม มีเพียงหนึ่งเดียวคือลิเวอร์พูล"


เจอร์ราร์ดมาทบทวนดู แล้วรู้สึกว่า การอยู่ลิเวอร์พูลต่อไปเป็นเรื่องดีกว่า เขาทำใจหักกับแฟนบอลตัวเองไม่ได้จริงๆ และถ้าหากทีมยังไม่พร้อมจะเป็นแชมป์ตอนนี้ เขาก็จะอยู่กับทีมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสักวันที่จะไปถึงความสำเร็จ


เมื่อตัดสินใจได้แล้วแบบนั้น ทำให้เวลา 5 ทุ่ม ของวันที่ 5 กรกฎาคม เจอร์ราร์ด โทรไปหาเอเยนต์ เพื่อส่งข้อความไปบอกต่อกับริค แพร์รี่ ผู้บริหารทีมหงส์แดง ว่า "จะอยู่ต่อ" และให้เอเยนต์โทรไปหาปีเตอร์ เคนย่อน ซีอีโอของเชลซีด้วย บอกว่าเจอร์ราร์ดเปลี่ยนใจแล้ว ต้องขอโทษจริงๆ


มูรินโญ่ พลาดได้ตัวเจอร์ราร์ด ทั้งซัมเมอร์ 2004 และ ซัมเมอร์ 2005 แต่ก็โดนปฏิเสธทั้งสองหน เขาบอกว่า "เสียดายแต่ก็เข้าใจ"


คือต้องเข้าใจว่าเจอร์ราร์ด เป็นคนที่มูรินโญ่อยากได้มาตลอด พร้อมจะทุ่มเงินทั้งค่าตัว และค่าเหนื่อย เป็นตัวเลขมหาศาล แต่ในมุมของเจอร์ราร์ด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเงิน แต่อยู่ที่ความรู้สึก


เจอร์ราร์ด ทำร้ายจิตใจแฟนหงส์แดงไม่ลงจริงๆ และเขาก็อยากเป็นคนที่ถูกรักจากแฟนหงส์ไปตลอดชีวิตด้วย


หลังจากการปฏิเสธเชลซีรอบสองในปี 2005 เจอร์ราร์ดมาได้รับข้อเสนออย่างจริงจังอีก 2 ครั้ง จากเรอัล มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2010


แน่นอน ถ้าย้ายไปสองทีมนั้น ก็คงมีโอกาสไปถึงแชมป์ใหญ่ๆ ได้มากขึ้น แต่เจอร์ราร์ดก็ปฏิเสธไปทั้งหมด โดยบอกว่า "ผมคือกัปตันทีมของลิเวอร์พูล ผมอยู่กับสโมสรที่ใหญ่อยู่แล้ว ผมจะเปลี่ยนทีมไปทำไม ผมจะทำสิ่งที่กระทบต่อความสัมพันธ์ของผมกับสโมสรไปเพื่ออะไร"


เรื่องราวก็เลยจบลงแบบนี้ เจอร์ราร์ดอยู่กับลิเวอร์พูลยาวนาน ตั้งแต่ปี 1998 ถึง 2015 อยู่ด้วยกันถึง 17 ปีเต็ม (ถ้านับตอนเป็นเยาวชนด้วยก็ 27 ปี) ก่อนจะย้ายไปแขวนสตั๊ด ที่แอลเอ แกแลกซี่ ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์


สำหรับเรื่องการปฏิเสธเชลซี ในปี 2005 เป็นประเด็น What if ที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าเจอร์ราร์ด ย้ายทีมไปวันนั้น ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร ป่านนี้อาจจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้วหลายสมัยก็ได้ แต่พออยู่หงส์แดงต่อ เขาได้แชมป์ลีกสูงสุด 0 สมัย


แต่เจอร์ราร์ด ยืนยันว่า "ผมไม่เคยเสียใจ ที่ไม่ได้ย้ายไปเชลซี ไม่เลยสักนิด"


"ลองดูความสัมพันธ์ของผมกับสโมสรในวันนี้นะ ผมสามารถเอาลูกไปดูบอลที่แอนฟิลด์ได้ ผมสามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างมีความสุข ผมถูกสโมสรเชิญมาทำงานเป็นโค้ชอะคาเดมี่ นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากมีกับลิเวอร์พูลไปตลอด"


เพราะการอยู่ลิเวอร์พูลแทบจะตลอดอาชีพ ทำให้เจอร์ราร์ดได้แชมป์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น อันนี้ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเราเทียบเรื่องจำนวนแชมป์พรีเมียร์ลีก กองกลางในเจนเดียวกัน อย่างแฟรงค์ แลมพาร์ด ได้แชมป์ 3 สมัย หรือรุ่นพี่ พอล สโคลส์ ได้แชมป์ 11 สมัย


แต่แม้จะไม่มีแชมป์พรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดก็ยังคงเป็นไอคอนของฝั่งลิเวอร์พูลอยู่เสมอ แฟนบอลหงส์แดงทั่วโลก จะยกเขาขึ้นไปอยู่บนหิ้งระดับสูงสุด เทียบเคียงกับเลเจนด์อย่างเอียน รัช หรือ เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช


ถ้าถามว่าทำไมเจอร์ราร์ด เป็นตำนานของสโมสร แม้จะมี 0 แชมป์พรีเมียร์ลีก


คำตอบก็คือ เขาคือคนที่อยู่เคียงข้างกับทีมมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่ทีมลำบาก เคยมีข้อเสนอล่อใจหลายหน แต่ก็ไม่ย้ายไป เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจแฟนบอลที่เติบโตด้วยกันมา


เมื่อนักเตะมีความจงรักภักดีให้กับสโมสรตอนเป็นผู้เล่น วันหนึ่งเมื่อแขวนสตั๊ดไปแล้ว ก็ไม่แปลกเลย ที่แฟนบอลก็พร้อมจะมอบความรักคืนกลับไปให้เขาเช่นเดียวกัน


ในโลกของฟุตบอลยุคปัจจุบันนี้ ที่ทุกๆ คนคิดถึงความสำเร็จ คิดถึงเงินทอง และเกียรติยศ เป็นอันดับแรก การที่มีผู้เล่นสักคน ที่มีทางเลือกมากมาย แต่กลับคิดถึงสโมสรและแฟนบอลก่อน เป็นสิ่งพิเศษ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เลยจริงๆ