จุดเริ่มต้นเหตุปะทะชายแดนครั้งใหม่ ไทยแฉกัมพูชาวางทุ่นระเบิดกลางเวทีโลก-แตะถุงเงินสแกมเมอร์ จับตา 7 วัน ปิดฉากหรือยืดเยื้อ? 

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังปะทะกันรอบใหม่ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 68 กองทัพบกรายงาน เวลา 14.15 น. ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยกระสุนปืนเล็กใส่ทหารไทย จนมีทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย เกิดการยิงปะทะกันระยะหนึ่ง ก่อนพบว่าฝ่ายกัมพูชามีการเคลื่อนกำลังทหารประจำการในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดน

รุ่งขึ้น 8 ธ.ค.68 กัมพูชายิงอาวุธเข้ามายังแนววางกำลังของไทย มีการปะทะกันในพื้นที่ช่องอานม้า, เนิน 677, ห้วยตามาเรีย พื้นที่คนา และปราสาทตาเมือน ส่งผลให้มีทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บรวม 4 นาย ล่าสุด สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ประกาศยกเลิกภารกิจ เพื่อบัญชาการเหตุการณ์ปะทะชายแดน

วิเคราะห์สาเหตุปะทะรอบใหม่

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยกับแหล่งข่าวระดับสูงในกองทัพบก มองว่า จุดเริ่มต้นของการปะทะรอบใหม่เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก สาเหตุแรกคือ การที่เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ไทยเปิดคลิปหลักฐานแฉกัมพูชาวางทุ่นระเบิดกลางที่ประชุมออตตาวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้กัมพูชาพยายามประท้วงจนเกินเวลาและถูกปิดไมค์


อีกสาเหตุคือการโดนกดดันปราบปรามสแกมเมอร์ ทำให้กัมพูชาคิดว่ายอมอยู่เฉยต่อไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะโดนล้วงเข้ามาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยเองก็คงเหลืออดเช่นกัน คาดว่าการปะทะครั้งนี้อาจมีความรุนแรงหนักกว่าครั้งก่อน

เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ที่มองว่า การปะทะครั้งนี้เป็นการแก้เกมหลังจากที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ แถลงกลางที่ประชุมออตตาวาเรื่องทุ่นระเบิด ทำให้ทางกัมพูชาเสียหายหน้าเป็นอย่างมาก และจี้จุดสมเด็จฮุนเซน ที่เป็นคนห่วงหน้าตาภาพลักษณ์ เมื่อถูกกระทำเช่นนี้ จึงเข้ามาบัญชาการรบด้วยตนเอง ถือเป็นหมากครั้งสุดท้ายที่สมเด็จฮุนเซน พยายามซื้อเวลาเอาไว้

“กัมพูชายังใช้ความถนัดเดิมที่เคยชิน คือเปิดฉากยิงก่อนแต่ทหารไทยเจ็บ แล้วก็บอกว่าตัวเองไม่ได้ยิง แต่เรื่องนี้ไม่มีใครเล่นด้วยแล้ว”

ในส่วนการปะทะครั้งนี้จะยืดเยื้อหรือไม่ ผศ.ดร.วันวิชิต มองว่าให้จับตาดูใน 7 วันนี้ หากกัมพูชาเสียหายมากก็น่าจะรีบเจรจา แต่ขณะเดียวกันถ้าหากกัมพูชาพลาดโจมตีเข้ามาในเป้าหมายพลเรือน ไทยก็มีความชอบธรรมในการตอบโต้สร้างความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้ว 

ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม

ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม


โอกาสประเทศที่ 3 แทรกแซง

ในส่วนของการที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หรือจีนจะเข้ามาแทรกแซงเหตุปะทะครั้งนี้หรือไม่นั้น ผศ.ดร.วันวิชิต ระบุว่าให้จับตารอดูก่อน ตอนนี้ท่าทียังคงเงียบอยู่ ยังไม่เห็นอะไรชัดเจน

ด้านแหล่งข่าวระดับสูงในกองทัพบก ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คืออาจต้องรอท่าทีสหรัฐฯ อีกสักระยะหนึ่ง ทั้งนี้คาดว่าตราบใดที่สมเด็จฮุนเซนยังอยู่ สหรัฐฯ จะเจรจากับกัมพูชาไม่ลงตัว โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องการโค่นอำนาจสมเด็จฮุนเซนอยู่แล้ว จากประเด็นความไม่เป็นประชาธิปไตยและปัญหาสแกมเมอร์ ส่วนจีนน่าจะรอดูท่าทีสหรัฐฯ ก่อนอีกทอดหนึ่งจึงค่อยเข้ามามีบทบาท

กองกัมพูชาขาดเสถียรภาพ

แหล่งข่าวระดับสูงในกองทัพบก เปิดเผยว่า ในส่วนที่ทหารกัมพูชามีการโจมตีตลอดแนวชายแดนหลายพื้นที่ คาดว่าเป็นยุทธวิธีในการกระจายกำลัง เพราะหากรวมกันจุดเดียวอาจเกิดความสูญเสียสูง ซึ่งไทยเองก็ควรต้องตอบโต้ตลอดแนวด้วยเช่นกัน หรืออาจรุกเข้าพื้นที่ในส่วนที่เป็นฐานของสแกมเมอร์ เช่น ชายแดน จ.สระแก้ว

ขณะเดียวกันมองว่าภายในกองทัพกัมพูชาก็ไม่ได้มีเสถียรภาพมากนัก ทหารกัมพูชาที่อยู่ตามแนวชายแดนฝั่งภาคอีสานก็คนละกลุ่มกับที่อยู่ตามแนวชายแดนตะวันออก ยังมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่ โดยอาจมีไพ่ใบสุดท้ายคือ “การรัฐประหาร” เกิดขึ้นในกัมพูชา หรือการสูญเสียอำนาจของสมเด็จฮุนเซน นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ก็เป็นได้

“ทหารกัมพูชาไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนไทย เขายังเป็น วอร์ลอร์ด (ผู้นำกองทหาร) แบ่งเป็นกลุ่มๆ ในพื้นที่ตอนล่างความสัมพันธ์กับไทยค่อนข้างดี สังเกตได้ว่าค่อนข้างจะสงบกว่า”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเมืองภายในของกัมพูชาเอง ที่หากสถานการณ์สงบประชาชนก็จะวิจารณ์รัฐบาล แต่เมื่อมีสงคราม ประชาชนก็จะร่วมกันต้านคนนอกยึดการปกป้องประเทศเป็นอันดับแรก ซึ่งเชื่อว่าจุดประสงค์ในการสู้รบของสมเด็จฮุนเซนคือเพื่อรักษาฐานอำนาจของตนเองเท่านั้น ตอนนี้สมเด็จฮุนเซนก็เจ็บป่วยและอายุมาก จึงต้องการสร้างความมั่นคงให้วงศ์ตระกูลในอนาคต


เจรจาหยุดยิงไม่เป็นผล

แหล่งข่าวระดับสูงในกองทัพบก มองว่า การเซ็นข้อตกลงต่างๆ ไม่ได้มีผลมากนัก มีไว้เพื่อแสดงความชอบธรรมและชี้หน้าว่าอีกฝ่ายละเมิดก่อน คนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ก็จะไม่รู้ว่ากัมพูชาโกหกอย่างไร ใครรายงานข่าวก่อนหรือรายงานข่าวมากกว่าก็จะชิงความได้เปรียบในการสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง 

มองว่าในตอนนี้กองกำลังทั้งฝั่งไทยและกัมพูชายังไม่หมดแรงทั้งคู่ ซึ่งการหยุดยิงถาวรจะเกิดขึ้นได้มาจากการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดศักยภาพ ไม่สามารถทำอะไรต่อได้แล้วจึงมาขอยุติ

จุดสำคัญในการสู้รบยุคใหม่อยู่ที่การทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์หลักๆ เช่น จรวดต่างๆ ไม่ใช่ทำลายกำลังทหาร การสังหารทหารอาจไม่ได้ส่งผลต่อการสู้รบมากนักแต่เป็นการเพิ่มความเกลียดชังให้กันและกันมากกว่า ซึ่งเชื่อมั่นว่าฝ่ายไทยได้ทำลายอาวุธ เรดาร์ หน่วยควบคุมโดรนของกัมพูชาไปแล้วจำนวนมาก

“กัมพูชามีจรวดอยู่ 18-19 หน่วย ก็ถือว่าไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะมากจนสามารถโจมตีได้ต่อเนื่อง จึงมีการหยุดพักเกิดขึ้น”