แม่ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนมีลูกชายเพียงคนเดียวคือ ผู้เสียชีวิต และอาศัยอยู่ที่บ้านที่เกิดเหตุนี้กัน 3 คนพ่อแม่ลูก โดยก่อนหน้านี้ประมาณ 3 เดือน ลูกชายซึ่งเสพยาเสพติดอย่างหนักและเกิดอาการหลอน ตนก็พยายามนำตัวลูกชายเพื่อไปรักษาอาการในเบื้องต้นที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่ง แต่ ทาง รพ.ก็ปฏิเสธการรักษา พร้อมทั้งบอกว่าหากจะบำบัดจริงก็ให้ไปสถานบำบัดเอกชน ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายครั้งแรกก่อน 50,000 บาท ต่อจากนั้นก็จะเสียเป็นรายเดือนๆละ 10,000 บาท ซึ่งตนไม่มีเงิน จึงต้องพาลูกกลับมาดูแลตามมีตามเกิด



แม่ผู้เสียชีวิต เล่าต่อว่า ทุกวันก่อนจะไปทำงานในสวน ตนก็จะวางเงินไว้ให้ลูกชายจำนวน 100 บาท และวันเกิดเหตุก็เช่นกันตนก็ได้วางเงินไว้ให้ 100 บาท แล้วก็เข้าไปในสวน เพื่อจะดูแลผลผลิตซึ่งอีกไม่กี่วันทุเรียนก็จะเก็บเกี่ยวได้ ก็คาดหวังจะนำเงินที่ขายทุเรียนได้ รวบรวมพาลูกชายไปบำบัดที่สถานบำบัดเอกชน ตลอดระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา ลูกชายก้าวร้าวหนักขึ้น ไม่ได้อะไรดั่งใจก็จะทำลายข้าวของ ทำให้ตนและสามีเกิดความหวาดกลัว กลัวว่าลูกจะหลอนทำร้ายพ่อแม่



จนตนมารู้จากเพื่อนบ้านว่า ลูกชายเดินไปตามหมู่บ้านพร้อมตะโกนว่า คอยดูเขาจะจบชีวิตตัวเอง ตนจึงรีบกลับมาที่บ้าน ก็พบว่าห้องลูกชายปิดประตูไว้ จึงเปิดเข้าไปดูก็พบว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว จึงได้นำร่างลงมาพร้อมแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบดังกล่าว และขอฝากรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาจัดสถานที่ผู้ป่วยยาเสพติดให้เข้าถึงสถานบำบัดอย่างแท้จริงด้วย



เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำร่างไปชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งทางครอบครัวไม่ติดใจการเสียชีวิต จึงได้มอบศพให้นำไปทำพิธีทางศาสนาต่อไป