ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เตรียมรื้อ สน.สามเสน มูลค่า 40 ล้าน เลื่อนเปิดผิวจราจรไม่มีกำหนด
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เตรียมรื้อ "สน.สามเสน" ใหม่ มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท พร้อมเลื่อนเปิดผิวจราจรจากเดิมวันที่ 9 ต.ค.นี้ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 4 ต.ค. 2568 มีรายงานว่า ที่รพ.วชิรพยาบาล นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงการณ์กรณีรื้ออาคาร สน.สามเสน กรณีเกิดเหตุการณ์ถนนสามเสนยุบตัวว่า หลังจากเมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีได้มาเยี่ยมตอนประมาณสี่ทุ่ม โดยมีข้อสั่งการให้ดูเรื่องสถานีตำรวจให้ดี เพราะมีการทรุดตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเช้าก็มีการประชุมโดยเป็นคณะกรรมการที่ตั้งมาเสริม เป็นกลุ่มที่มีคณะทำงานด้านเทคนิคทั้งทางตำรวจ รฟม. กรมโยธา และกทม. รวมไปถึงผู้รับเหมาประชุมร่วมกัน
ที่ผ่านมามีการถมทรายเข้าไปประมาณ 3,000 ลูกบาศก์เมตร และพยายามทำเข็มเพิ่มเติมตรงเสาเข็มที่ขาด แต่พบว่ามีบางส่วนที่มีรอยร้าวและมีดินสไลด์ โดยเสาต้นที่ 3 ของสถานีตำรวจมีการชำรุดหรือเสียหายเพิ่มเติม ทำให้เริ่มประเมินสถานการณ์กันใหม่ โดยเมื่อเช้าประเมินจากฝ่ายเทคนิคคิดว่า ถ้าไม่รื้อถอนตอนนี้จะมีอุปสรรคในการเอาดินกลับคืน และมีความเสี่ยงที่ตึกจะถล่มลงมาระหว่างการแก้ไขได้ ตำรวจก็ไม่มีความขัดข้องซึ่งการใช้จ่ายทั้งหมดทาง รฟม. และผู้รับเหมาจะเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
...
ทั้งนี้ มีการสั่งการ 6 ประเด็น คือ 1. ให้นำรถออกจาก สน.สามเสน รวมประมาณ 30 คัน และเริ่มเจาะกำแพงด้านหลังอาคาร 2. เริ่มรื้อถอนอาคารบางส่วน โดยจะเริ่มส่วนขวาสุดที่เป็นจุดเสี่ยงเพื่อลดน้ำหนัก 3.เสริมความมั่นคงด้านฝั่งสามเสนที่ติดกับแยกวชิระ เพื่อไม่ให้ดินสไลด์ตัวเพิ่ม 4.เสริมความแข็งแรงของอุโมงค์ใต้ดินด้านล่าง 5.ติดตามประเมินความมั่นคงของแฟลตตำรวจ 6. ติดตามความมั่นคงของอาคาร รพ.วชิระ
สำหรับทั้ง 6 กระบวนการนี้ สามารถเริ่มได้เลยตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ส่วนกำหนดการแล้วเสร็จอาจจะคลาดเคลื่อน โดยยังไม่ได้ระบุวันและเวลา แต่เน้นว่าจะต้องยึดความปลอดภัยเป็นหลัก รวมทั้งจะต้องขยายเวลาในการเปิดผิวจราจรจากเดิมวันที่ 9 ต.ค.นี้ ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ต้องดูสถานการณ์อีกครั้ง การจราจรก็ไม่ได้วิกฤติมากเนื่องจากโรงเรียนปิดอยู่
ส่วนสาเหตุในการรื้อครั้งนี้ เป็นเพราะเริ่มแรกที่หลุมยุบทำให้ดินสไลด์ ส่งผลให้เสาต้นที่ 5 ของ สน.ชำรุด ซึ่งเป็นเสาหลักในการรับน้ำหนัก และดินสไลด์ทำให้มีความเสียหายต่อเนื่องเพิ่มเติมมายังเสาที่ 3 ซึ่งไม่ได้เกิดจากการที่คนงานนำเครื่องจักรไปถมทรายบริเวณใต้สน.
ทั้งนี้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีมติสั่งรื้อตั้งแต่ข้างบนบางส่วนก่อนลงมา เพื่อให้ลดน้ำหนัก โดยวิธีการรื้อถอนจะแยกเป็นชิ้นๆ ใส่รถ และขนออกไปยังพื้นที่ที่รองรับไว้ จะไม่มีการเก็บวัสดุไว้ในพื้นที่เด็ดขาด แต่ก็ต้องใช้เวลาเพื่อความปลอดภัย แต่ตามหลักวิศวกรรมแล้ว ในอนาคตมีโอกาสรื้อทั้งอาคาร สน. เพราะตามอาคารนี้ถือเป็นอาคารใหม่ ความเสียหายที่บิดเบี้ยวไม่สามารถใช้งานต่อได้ งบประมาณในการซ่อมอาจจะมากกว่าที่ต้องสร้างใหม่
ส่วนอาคารอื่นๆ โดยรอบ พบว่าตอนนี้มีความปลอดภัย อย่างกรณีแฟลตตำรวจเก่าที่อยู่ด้านหลัง จากการตรวจสอบมีความปลอดภัย รวมทั้งบ้านเรือนประชาชนที่เป็นอาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะ รพ.วชิระ ไม่มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่วันแรก เนื่องจากมีอุปกรณ์ในการเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของอาคารพาณิชย์และแฟลตรวมทั้งอุโมงค์ใต้ดินจะต้องมีการมอนิเตอร์อยู่ตลอด
สำหรับหน้างานในเวลานี้ แม้จะมีฝนตกหนักลงมา ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้รองรับเพียงพอต่อการระบายน้ำ
ขณะที่ นายกิตติกร ตันเปาว์ รองผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ในเรื่องของข้อสรุปถึงสาเหตุความเสียหาย ยังไม่สามารถประเมินได้ หรือยังไม่มีมติใดๆ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างเร่งกู้สภาพผิวจราจร รวมถึงอาคารรอบข้างก่อน เพื่อไม่ให้ขยายวงกว้างไปกว่านี้.